ประเทศรวย จองวัคซีนไปกว่าครึ่ง โควิด-19 ทั่วโลกทะลุ 30 ล้านคน
ผู้คนทั่วโลกติดเชื้อโควิด-19 ทะลุไป 30 ล้านคนแล้ว เสียชีวิตใกล้แตะหลักล้านคน นายกฯอินเดียโดนฝ่ายค้านโจมตีว่าล้มเหลวกับการรับมือไวรัสอันตราย ทำให้ผู้คนตกงานหลายสิบล้านคน และเศรษฐกิจถดถอย อีกหลายชาติยังอาการหนักทั้งตายทั้งติดเชื้อทวีความรุนแรง ชาติร่ำรวยเฮโลจองวัคซีนกว่า 50% ของโลก หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกชี้ เศรษฐกิจทั่วโลกต้องรออีก 5 ปีกว่าจะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 บางประเทศอาจนานกว่านี้ และจะเกิดความไม่เท่าเทียมในสังคมเพิ่มขึ้น ส่วนไทยยังเฝ้าระวังเข้มงวดตามอาณาเขตชายแดนทุกด้าน อุดช่องโหว่การนำเชื้อไวรัสตัวร้ายข้ามพรมแดนที่อาจติดตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย
หลังมีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยที่เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศหลายวัน ในวันที่ 17 ก.ย. นับเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์ที่ไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสอันตรายตัวนี้ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยว่าในวันที่ 17 ก.ย. ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่วนผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมี 107 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงยอดเดิมคือ 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,490 ราย
ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศเมียนมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงล่าสุด เพิ่มขึ้นถึง 307 ราย ถือเป็นสถิติสูงสุดในประเทศ นับตั้งแต่เริ่มเกิดการระบาดครั้งแรกและพบว่านครย่างกุ้ง เมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมา กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดใหม่ เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในประเทศ ดังนั้น ประเทศไทยซึ่งหลายจังหวัดมีพรมแดนติดกับเมียนมา หน่วยงานทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งผู้เดินทางและเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาแพร่กระจายในประเทศได้ จึงขอย้ำให้ประชาชนอย่าประมาท สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง เมื่อไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ลงทะเบียน เข้า-ออก สถานที่ในแอปพลิเคชันไทยชนะทุกครั้ง
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบรายละเอียดกรณีเด็ก 2 ขวบชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด- 19 หลังกลับจากไทยไปเมียนมาแล้วพบติดเชื้อไวรัสนี้ โดยอ้างว่าติดมาจากไทยว่า กรมควบคุมโรค ได้มอบหมายให้กองระบาดวิทยา และหน่วยงานในสังกัดกรมควบคุมโรคในพื้นที่ ตรวจสอบรายละเอียดและสอบสวนโรค ซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้สอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด ที่เคยทำงานหรือเคยอาศัยกับครอบครัวนี้เพื่อตรวจหาการติดเชื้อต่อไป
อธิบดีควบคุมโรคกล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบรายละเอียดในเบื้องต้น พบว่าบิดามารดาของผู้ติดเชื้อเคยมาทำงานในบริษัททำอิฐบล็อกที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตั้งแต่เดือน ต.ค.2562 โดยมีประวัติขึ้นทะเบียนทำงานที่ จ.นครราชสีมา รวมถึงประวัติการตรวจสุขภาพที่ รพ.ปากช่องนานา เพื่อนแรงงานชาวเมียนมาให้รายละเอียดว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2563 ทั้งสองคนได้ลาออกจากบริษัทและเดินทางพร้อมบุตรสาวโดยรถตู้ที่มารับไปทำงานที่ จ.พระนครศรีอยุธยาในวันที่ 26 ส.ค. 2563 โดยสมัครเข้าทำงานที่ตลาดใน อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา กรมควบคุมโรค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่เหมาะสมต่อไป
ส่วนบรรยากาศที่ด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ยังคงมีแรงงานชาวเมียนมากว่า 100 คน เดินทางมารอตรวจเอกสารและตรวจคัดกรองเพื่อเดินทางข้ามพรมแดนกลับประเทศ มีเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยทูตแรงงานเมียนมาบรรยายให้ความรู้การเดินทางกลับและการปฏิบัติตัวป้องกันโควิด-19 ที่กำลังระบาดรุนแรงในเมียนมา สำหรับแรงงานทุกคน จะต้องสวมหน้ากากอนามัย สวมทับด้วยเฟซชิลด์อีกชั้น ต้องเข้าสถานกักตัวที่รัฐจัดไว้ 14 วัน และไปกักตัวที่บ้าน 7 วัน รวมถึงรณรงค์ล้างธนบัตรเพราะอาจจะเป็นตัวแพร่เชื้อ ส่วนรถบรรทุกฝั่งไทยที่จะข้ามแดนไปส่งสินค้าฝั่ง จ.เมียวดี คนขับรถและผู้ติดตามต้องทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด เมื่อถึงจุดตรวจต้องยื่นเอกสารหลักฐานการเข้าเมือง ลงมาถ่ายรูปกับรถรวมทั้งผ่านขั้นตอนการตรวจวัดอุณหภูมิ แสดงใบรับรองการตรวจโควิด-19 ทั้งขาไปและกลับเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
นายสายชล จันทร์เพ็ญ นอภ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เปิดเผยว่า นำกำลังชุดเฉพาะกิจพิทักษ์สวนผึ้ง ออกปิดล้อมตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย 3 จุด ได้แก่ สถานปฏิบัติธรรมสวนผึ้ง หมู่ 11 ต.ท่าเคย ลานรับซื้อมันสำปะหลัง หมู่ 6 ต.ท่าเคย ฟาร์มเพาะพันธุ์จิ้งหรีด หมู่ 6 ต.ป่าหวาย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และป้องกันปัญหายาเสพติดในพื้นที่ เบื้องต้นพบแรงงานชาวเมียนมา 11 คน ตรวจสอบมีเอกสารอนุญาตทำงานถูกต้องและไม่มีสารเสพติด สำหรับ อ.สวนผึ้ง มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา กำลังมีการระบาดไวรัสโควิด-19 ต้องมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รองเสนาธิการทหาร นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รอง ผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายปฏิบัติการ 1) เจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค ตรวจรับคนไทยและต่างชาติที่เดินทางกลับไทยมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 8 เที่ยวบิน ที่จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บรูไน อินเดีย กัมพูชา จีน ญี่ปุ่น บังกลาเทศ ฮ่องกง รวมผู้โดยสาร 1,001 คน พบผู้โดยสารมีไข้สูง 5 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาล ที่เหลือนำไปกักตัว 14 วัน ตามมาตรการของรัฐ
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ และรองประธานอนุกรรมาธิการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กล่าวว่า จากกรณีที่ ครม.ไฟเขียวเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ เพื่อต้องการนำนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพเดินทางเข้าไทย คณะกรรมาธิการเห็นด้วย แต่ยังคงมีความกังวลเรื่องการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ หลายพื้นที่ยังมีความกังวล ว่าจะไม่สามารถป้องกันเชื้อได้อย่างเต็มที่ พรรคเห็นด้วยที่จะเปิดประเทศ แต่รัฐบาลต้องมีมาตรการทางด้านสาธารณสุขที่ชัดเจน ในเรื่องการป้องกันการแพร่กระจายและมาตรการป้องปราม ตั้งแต่ขั้นตอนการเข้าประเทศ ระหว่างอยู่ในประเทศดูแลอย่างไร เพราะไวรัสโควิด-19 มีทั้งแสดงอาการและไม่แสดงอาการ หากคิดเพียงรายได้แต่ประเทศพังก็ไม่มีประโยชน์
ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 17 ก.ย. ว่า ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งเกิน 30 ล้านคนแล้ว มีผู้เสียชีวิตกว่า 9.45 แสนคน รักษาหายเกือบ 22 ล้านคน สหรัฐอเมริกา ยังมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลกที่ 6.83 ล้านคน และ 2.01 แสนคนตามลำดับ อันดับ 2 คืออินเดีย ซึ่งพบผู้ติดเชื้อเพิ่มทำลายสถิติอีกครั้งถึง 97,894 คน รวมเป็นเกือบ 5.12 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 83,230 คน ฝ่ายค้านโจมตีรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ว่า รับมือโควิด-19 ล้มเหลว ทำให้ เศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้มีผู้ตกงานหลายสิบล้านคน ขณะที่ประเทศที่มีผู้ติดเชื้ออันดับ 3-5 คือบราซิล รัสเซีย และเปรู
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทำนายว่า จะมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยพร้อมใช้เร็วที่สุดในเดือน ต.ค.และสามารถแจกจ่ายฉีดให้ประชาชนได้หลังจากนั้น ท่าทีของทรัมป์ขัดแย้งกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่ชี้ว่า จะยังไม่มีวัคซีนพร้อมใช้ก่อนสิ้นปีนี้ ทรัมป์ยังขัดแย้งกับนายแพทย์ โรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่า จะยังไม่มีวัคซีนพร้อมใช้ก่อนสิ้นปีนี้ ทรัมป์ยังขัดแย้งกับนายแพทย์ โรเบิร์ต เรดฟีลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่าจะยังไม่มีวัคซีนพร้อมใช้ในเร็วๆนี้ โดยหาว่าเรดฟีลด์ “สับสน” อีกทั้งไม่เห็นด้วยกับเรดฟีลด์ที่ว่าการสวมหน้ากากอนามัยอาจป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าการฉีดวัคซีนเสียด้วยซ้ำ โดยแม้ทรัมป์จะแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากาก แต่ตนเองแทบไม่เคยสวมเลย และซีดีซีได้แจกจ่ายคู่มือเรื่องการแจกจ่ายวัคซีนไปยังทั้ง 50 รัฐ เพื่อเตรียมพร้อมฉีดให้ชาวอเมริกันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้ามีวัคซีนพร้อมใช้
องค์กรพัฒนาเอกชน “อ็อกซ์แฟม” เผยผลการวิเคราะห์โดยบริษัท “แอร์ฟินิตี้” ซึ่งอาศัยข้อมูลจากบริษัทยาชั้นนำที่มีหวังพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำเร็จมากที่สุด 5 บริษัท คือบริษัทแอสตราเซเนกาของอังกฤษ, สถาบันกามาเลยาของรัสเซียผู้ผลิตวัคซีนสปุตนิก 5, บริษัทโมเดอร์นาและบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯ บริษัทซิโนแว็กของจีน และพบว่ากลุ่มชาติร่ำรวย ซึ่งมีประชากรรวมกันแค่ร้อยละ 13 ของประชากรโลก ได้สั่งจองวัคซีนจากบริษัทเหล่านี้รวมแล้วกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของวัคซีนที่จะผลิตได้ในอนาคต
โดยอ็อกซ์แฟมคำนวณว่าบริษัทยาชั้นนำ 5 แห่งนี้มีศักยภาพผลิตวัคซีนได้รวมกัน 5,900 ล้านโดส เพียงพอฉีดให้ผู้คน 3,000 ล้านคน ถ้าแต่ละคนต้องฉีดวัคซีน 2 โดส ขณะนี้มีประเทศต่างๆ สั่งจองวัคซีนแล้วถึง 5,300 ล้านโดส โดย 2,700 ล้านโดส หรือ 51 เปอร์เซ็นต์ ถูกสั่งจองจากกลุ่มประเทศหรือดินแดนพัฒนาแล้วที่ร่ำรวย รวมทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิสราเอล ฮ่องกง มาเก๊า ส่วนที่เหลือ 2,600 ล้านโดส ถูกสั่งจองหรือสัญญาว่าจะส่งให้ชาติกำลังพัฒนา รวมทั้งอินเดีย จีน บังกลาเทศ บราซิล อินโดนีเซีย เม็กซิโก ด้านนายโรเบิร์ต ซิลเวอร์แมน โฆษกของอ็อกซ์แฟม อเมริกา เตือนว่า ชาวโลกทุกคนควรได้เข้าถึงวัคซีนเท่าเทียมกัน ไม่ว่ายากดีมีจนหรืออยู่ที่ใดในโลก
นายอูเกอร์ ซาฮิน ซีอีโอของ “ไบโอเอ็นเทค” บริษัทยายักษ์ใหญ่ของเยอรมนีเผยว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ขั้นทดลองของตนซึ่งพัฒนาร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐฯ สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็นได้นานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หลังมีผู้ตั้งข้อวิตกกังวลว่าวัคซีนอาจเก็บได้ไม่นาน และจำเป็นต้องแช่ในอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง เขายังระบุว่า วัคซีนที่มีประสิทธิภาพควรป้องกันโควิด-19 ได้ถึง 70-75 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
นางคาร์เมน ไรน์ฮาร์ท หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกเผยระหว่างการประชุมทางไกลจากกรุงมาดริดในสเปนว่า แม้การยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์และอื่นๆจะทำให้เศรษฐกิจของบางประเทศฟื้นตัวรวดเร็ว แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกอย่างเต็มที่หลังวิกฤติโควิด-19 อาจใช้เวลานานถึง 5 ปี ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศจะกินเวลานานกว่าประเทศอื่นๆ และจะส่งผลให้ความไม่เท่าเทียมทางสังคมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจน จะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศร่ำรวย
ส่วนสถานการณ์โควิด-19 เมียนมาพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 73 คน รวมเป็น 3,894 คน ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 6 คน รวมเป็น 46 คน อินโดนีเซีย พบผู้ติดเชื้อเพิ่มถึง 3,635 คน รวมเป็น 232,628 คน เสียชีวิตเพิ่ม 122 คน รวมเป็น 9,222 คน ฟิลิปปินส์พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 3,375 คน รวมเป็น 276,289 คน เสียชีวิตเพิ่ม 53 คน รวมเป็น 4,785 คน เม็กซิโกพบผู้ติดเชื้อเพิ่มถึง 4,444 คน รวมเป็น 680,931 คนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 300 คนรวมเป็น 71,978 คน แต่จีนต้นตอการระบาดพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเพียง 9 คน ทั้งหมดเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ลดลงจากวันก่อนที่ 12 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรวมอยู่ที่ 85,223 คน เสียชีวิต 4,634 คน ขณะที่ออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อเพิ่มแค่ 35 คน ต่ำสุดในรอบเกือบ 3เดือน รวมยอดติดเชื้อสะสมเกือบ 27,000 คน เสียชีวิต832คน
https://www.thairath.co.th/news/local/1931953