องค์การอนามัยโลกสั่งระงับการทดลองใช้ยาต้านมาลาเรีย “ไฮดร็อกซีคลอโรควิน” กับคนไข้โควิด-19
องค์การอนามัยโลก (WHO) มีคำสั่งให้ระงับการทดลองใช้ยาไฮดร็อกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine) ซึ่งเป็นยารักษาไข้มาลาเรียกับผู้ติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 เป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมการทดลอง หลังผลวิจัยล่าสุดชี้ว่ายาดังกล่าวมีแนวโน้มทำให้ผู้ป่วยโรคโควิด-19 เสี่ยงจะเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น
ยาไฮดร็อกซีคลอโรควินเป็นหนึ่งในยา 4 ชนิดที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ให้การสนับสนุนภายใต้โครงการ Solidarity เพื่อดำเนินการทดลองทางคลินิกใน 17 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Lancet เมื่อสัปดาห์ที่แล้วชี้ว่า ในบรรดาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกือบหนึ่งแสนราย ผู้ที่ได้รับยาคลอโรควินหรือไฮดร็อกซีคลอโรควิน รวมทั้งยาหนึ่งในสองชนิดนี้ร่วมกับยาปฏิชีวนะ มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนไข้กลุ่มอื่น โดยผู้ป่วยที่ได้รับยาไฮดร็อกซีคลอโรควินมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 18% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มควบคุมถึงสองเท่า
ผลการวิจัยยังพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาไฮดร็อกซีคลอโรควินมีแนวโน้มจะเสียชีวิตระหว่างรับการรักษาในโรงพยาบาล โดยมักมีอาการแทรกซ้อนเกี่ยวกับหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ดร. ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกระบุว่า คำสั่งระงับการทดลองใช้ยาไฮดร็อกซีคลอโรควินนี้มีขึ้นเป็นการชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้คณะกรรมการด้านความปลอดภัยเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นเวลาราว 2 สัปดาห์ และจะมีการประชุมพิจารณากันอีกครั้งหลังจากนั้น เพื่อตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้ดำเนินการทดลองต่อไปหรือไม่
ก่อนหน้านี้ยาไฮดร็อกซีคลอโรควินตกเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่ายานี้มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 โดยตัวเขาเองรับประทานวันละ 1 เม็ด เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากบุคคลรอบข้างในทำเนียบขาว และเพิ่งรับยาครบ 2 สัปดาห์ไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ซึ่งหลังจากนี้เขาจะไม่กินยานี้อีกแล้ว
"จบแล้ว เพิ่งจะกินครบคอร์สเลย และผมก็ยังไม่ตายนะ" ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขากล่าวชื่นชมสรรพคุณและให้การสนับสนุนยาไฮดร็อกซีคลอโรควินอย่างเกินจริง ทั้งที่มีผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาดังกล่าวเองโดยไม่ฟังคำแนะนำจากแพทย์ และมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่ายาดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19