ประชุมวิชาการ สมุนไพรยาจีน ต้านโควิด
เตรียมรับมือโควิด-19 รอบ 2 ประชุมวิชาการ "การใช้ยาสมุนไพรจีน" ความสำเร็จใหม่ที่ผู้เชี่ยวชาญจีนแชร์ในงานประชุมวิชาการกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จัดประชุมวิชาการ "ซูม มีตตี้ง" ในหัวข้อ การใช้ยาสมุนไพรจีน (Lianhua Qingwen) ในการป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เมื่อวันก่อน โดยสมาพันธ์การแพทย์จีนโลก ร่วมกับ บริษัท เอินเวย์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้ายาอย่างเป็นทางการได้เชิญผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงคุณวุฒิด้านระบบทางเดินหายใจ ศจ.เกา จานเฉิง กรรมการแพทย์สภาประเทศจีนสาขาระบบทางเดินหายใจ และ ผอ.ศูนย์ระบบทางเดินหายใจและอาร์ซียูของ ร.พ.ประชาชน ม.ปักกิ่ง และ ศาสตราจารย์ ติง ปังหาน รองประธานกรรมาธิการปฐมพยาบาลฉุกเฉินของสมาคมการแพทย์แผนจีนและแพทย์ตะวันตกแบบบูรณาการ และผู้อำนวยการศูนย์อาร์ซียู ร.พ.การแพทย์จีน มณฑลกวางตง ได้นำเสนองานวิชาการในหัวข้อ “ทฤษฎีและการปฏิบัติในการใช้ยาสมุนไพรจีนในการป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ” และ “การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่และกลไกการรักษาของ เหลียนฮัว ชิงเวิน”
น.พ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในฐานะประธานที่ประชุมกล่าวว่า ยาแคปซูล เหลียนฮัว ชิงเวิน ( Lianhua Qingwen ) จากการศึกษาข้อมูลงานวิจัยในสาธารณรัฐประชาชนจีน พบเป็นยาสมุนไพรจีนที่ใช้ในการรักษาไข้หวัดใหญ่หลายสายพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในการเอนตี้ไวรัส และผลของการใช้ เหลียนฮัว ชิงเวิน ร่วมรักษาโรคโควิด-19 ในการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน และเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2563 ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกประกาศให้เป็นยาที่ใช้ร่วมรักษาโรคโควิด-19 ตามประกาศเกี่ยวกับการเพิ่มข้อบ่งใช้ใหม่ “ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ในระดับเบาและปานกลาง” แต่เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีประสบการณ์ในการใช้ยาดังกล่าว
น.พ.มรุต กล่าวต่อว่า ดังนั้น กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยสถาบันการแพทย์ไทย-จีน จึงได้จัดประชุมวิชาการขึ้น โดยหวังว่าวิทยากรจากสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้ง 2 ท่านในวันนี้จะนำความรู้ใหม่ๆ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายการแพทย์แผนจีนและการแพทย์ผสมผสานในประเทศไทย และนำองค์ความรู้ที่ได้มาบูรณาการร่วมกันระหว่างการแพทย์แผนจีนกับการแพทย์แผนปัจจุบันในระบบบริการสุขภาพไทยต่อไป